ความรื่นรมย์ของป่าฝังอยู่ใน DNA

ป่าคือสถานที่ซึ่งมอบความชุ่มฉ่ำและช่วยเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ
ของพวกเราผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายภายในตัวเมือง เมื่อเราจดจ่ออยู่กับประสาท
สัมผัสทั้งห้าท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ที่มีกลิ่นหอมของใบไม้สด เราจะรู้สึกได้ว่า
ความตึงเครียดที่มีอยู่นั้นผ่อนคลายลง ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เพียงแค่"การรู้สึกไปเอง"
เราทราบมาจากผลการวิจัยของสถาบันวิจัยป่าไม้และผลิตภัณฑ์จากป่า (องค์กรอิสระ)
ว่า ส่วนประกอบของกลิ่นป่า (เช่น β-Phellandrene) ที่ต้นไม้ปล่อยออกมา
นั้นจะช่วยผ่อนคลายความกังวลและลดความเครียดได้ และความรู้สึกที่ว่า
"ป่ามีอากาศที่บริสุทธิ์" ก็ไม่ใช่การคิดไปเองเช่นกัน เนื่องจากข้อมูลที่ได้มาจาก
การวัดผลจริงนั้นแสดงถึงความเข้มข้นของ NO2 (สสารที่เป็นมลพิษทางอากาศ)
ที่ต่ำกว่าในเขตเมืองอย่างชัดเจน มนุษย์เราซึ่งอยู่ร่วมกับป่ามาตั้งแต่โบราณกาล
และดำเนินชีวิตสืบมาโดยได้รับพรเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนใน
ทางวิทยาศาสตร์ แต่สัญชาตญาณก็ยังคงจดจำความรื่นรมย์ของป่าได้
ดังนั้นผู้คนที่ต้องการความผ่อนคลายจะต้องมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าอย่างแน่นอน

สุขภาพดีด้วยป่าที่ผ่อนคลาย วัฒนธรรม "ธรรมชาติบำบัด"

ชาวตะวันตกให้ความสนใจกับพลังที่ป่ามีมานานแล้ว และได้
นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด"
ตัวอย่างเช่น "คไนปป์เทอราปี" ของเยอรมันที่น่าภาคภูมิใจด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี ก็จัดโปรแกรมการบำบัดที่ใช้ทั้งน้ำและป่าไว้หลากหลาย โดยมี
"ความกลมกลืนของร่างกาย จิตใจ และธรรมชาติ" เป็นรากฐานสำคัญ แม้แต่ประกันสุขภาพเองยังครอบคลุมถึงการบำบัดนี้ด้วย
และแนวคิดเรื่องนี้ยังแพร่หลายไปในกลุ่มประชากรของประเทศต่างๆ อย่างเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ ที่ "ป่าโทรงเซ" ของฝรั่งเศสเองก็มีการจัดทัวร์
อาบป่าซึ่งนำทางโดยไกด์ และยังมีการทำทางเดินป่าซึ่งมีเป้าหมาย
เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่เรียกว่า "คอร์สวิต้าปาร์คูร์" ในอังกฤษ
และเรียกว่า "เส้นทางสุขภาพ" ในสวิตเซอร์แลนด์ ในทางกลับกัน ผู้คนในประเทศญี่ปุ่นเพิ่งจะเริ่มให้ความสนใจในพลังของป่าเมื่อไม่นานมานี้ โดยในปี 1982 กรมป่าไม้ได้
เสนอ "แนวความคิดเรื่องการอาบป่า" ขึ้น การอาบป่าจึงกลาย
เป็นที่นิยมมากขึ้น และในขณะเดียวกันยังมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับป่าในหลากหลายแง่มุม จึงช่วยให้เรามีข้อพิสูจน์ทาง
วิทยาศาสตร์ที่แสดงถึงความสามารถในการลดความเครียดและ
การทำให้อากาศบริสุทธิ์ได้จริง

ป่าคือ "ฟิลเตอร์กรองอากาศ" ตามธรรมชาติ

ป่าไม่เพียงรักษาร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่ยังปกป้องการใช้ชีวิต
ของเราด้วยบทบาทต่างๆ กันอีกด้วย ทั้งการกักเก็บน้ำ การป้องกัน
ดินถล่ม และการทำให้อากาศบริสุทธิ์ เมื่อเปรียบเทียบอากาศของเขตเมืองและป่าแล้ว จะพบว่าความ
เข้มข้นของ NO2 (สสารที่เป็นมลพิษทางอากาศ) ซึ่งพบได้ในไอเสียของรถยนต์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่เป็นเช่นนี้เพราะป่ามี
กลไกการทำให้อากาศบริสุทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยที่ส่วนประกอบของกลิ่นป่า (เช่น β-Phellandrene) จะจับตัวกับ NO2 (สสารที่
เป็นมลพิษทางอากาศ) แล้วเปลี่ยนเป็นอนุภาคที่ใหญ่ขึ้นและตกลงสู่หน้าดิน จึงช่วยรักษาให้อากาศบริสุทธิ์อยู่เสมอ และอาจกล่าวได้
เช่นกันว่าญี่ปุ่นที่มีป่าไม้ราว 70% ของประเทศนี้เป็นประเทศที่มี
"ฟิลเตอร์กรองอากาศ" ตามธรรมชาติ

สู่อนาคตในเชิงบวกด้วยพลังของป่า

เพื่อเป็นการตอบสนองต่อปัญหาของสังคมอย่างมลพิษทาง
อากาศ จึงได้มีการทำวิจัยป่ากันอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่
ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลหลายส่วนที่ไม่แน่ชัดเกี่ยวกับส่วนประกอบของกลิ่นป่า (เช่น β-Phellandrene) ว่าส่ง
ผลดีต่อคนอย่างไร ทั้งยังเป็นที่คาดหวังอีกว่า หากทำการวิจัยต่อไป เราอาจสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการขจัดสารอันตรายต่างๆ หรือหยุดการทำงานของไวรัส หรือแม้กระทั่งใช้เป็นวิธีการชะลอวัย ป่านั้นมีความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด
ซ่อนอยู่อีกมาก ถือเป็น "สมบัติ" ที่ไม่อาจทดแทนได้ของ
มนุษยชาติเลยก็ว่าได้

  • "หน่วยงานบริหารอิสระ สถาบันวิจัยป่าไม้และผลิตภัณฑ์จากป่า
    ศ.โอฮิระ"

เว็บไซต์หน่วยงานบริหารอิสระ สถาบันวิจัยป่าไม้และผลิตภัณฑ์จากป่า
PRINT